เด็กๆ สามารถฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่จันทร์ที่ 10 ม.ค.

A girl after having her vaccine

A girl after having her vaccine Source: Pexels/CDC

ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคมเป็นต้นไป เด็กๆ ในออสเตรเลียที่มีอายุระหว่าง 5-11 ปีสามารถรับวัคซีนไฟเซอร์ได้ หน่วยงานที่ปรึกษาด้านการสร้างภูมิคุ้มกันในออสเตรเลียยืนยันวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญทางแพทย์อยากให้เด็กๆ ได้รับวัคซีนก่อนเริ่มเข้าเรียนในปีการศึกษานี้ แม้การฉีดวัคซีนจะไม่เป็นสิ่งบังคับ


กดฟังสัมภาษณ์
LISTEN TO
Children eligible for vaccine from Monday Jan 10 image

เด็กๆ สามารถฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่จันทร์ที่ 10 ม.ค.

SBS Thai

10/01/202209:12
คุณไฟซา มาฮาด (Faiza Mahat) คุณแม่ลูกสี่ชาวโซมาเลีย ตั้งตารอให้ลูกๆ ที่กำลังศึกษาชั้นประถมศึกษาของเธอได้รับวัคซีน
สองสามเดือนที่ผ่านมา เราเห็นเด็กๆ หลายคนติดเชื้อไวรัสเพราะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้รับวัคซีน และเพราะว่าวัคซีนสามารถปกป้องคุณได้จากการเจ็บป่วย มันเป็นโอกาสที่ดี ฉันอดทนรอแทบไม่ไหวที่จะให้ลูกๆ ของฉันได้รับวัคซีน
ซาฟา (Safa) ลูกสาววัย 8 ขวบของเธอหวังว่าการได้รับวัคซีนหมายถึงการที่ไม่ต้องหยุดเรียน แต่เธอยังไม่แน่ใจในเรื่องการฉีดวัคซีน

“กลัวนิดหน่อยค่ะ แต่หนูจะพยายามกล้าเข้าไว้ เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าคุณจะติดโควิดเมื่อไหร่ และคุณต้องตรวจเชื้อเพราะคุณสามารถติดเชื้อได้ทุกเมื่อ”
คุณลอร่า โอเชีย (Laura O’Shea) หัวหน้าโครงการตอบสนองต่อความเสี่ยงในระดับสูง (High Risk Accommodation Response Project) กล่าวว่า การสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กอายุระหว่าง 5-11 ปี เป็นขั้นตอนที่สำคัญ
การฉีดวัคซีนสองโดสสำหรับผู้ใหญ่เป็นเครื่องมือในการลดจำนวนการแพร่ระบาดลง แต่น่าเสียดายที่เรามักเห็นเด็กในวัยเรียนติดเชื้อในโรงเรียนทั่วออสเตรเลีย เด็กๆ ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด เพราะพวกเขาไม่สามารถรับวัคซีนได้
ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคมเป็นต้นไป เด็กที่มีอายุระหว่าง 5-11 ปี สามารถรับวัคซีนไฟเซอร์เพื่อป้องกันโควิด-19 ได้ พวกเขาจะได้รับวัคซีนเป็นจำนวนสองโดส ห่างกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยวัคซีนมีปริมาณหนึ่งในสามของโดสที่อนุมัติฉีดให้ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป

คุณโอเชีย กล่าวว่าทีมของเธอพร้อมดำเนินการอีกครั้ง โดยศูนย์การแพทย์มีพนักงาน 20 คนที่สามารถพูดได้มากกว่า 15 ภาษา ที่จะคอยช่วยเหลือทุกครอบครัวตลอดกระบวนการฉีดวัคซีน

“เพื่อช่วยให้ข้อมูลในภาษาต่าง ๆ โดยเจ้าหน้าที่ของเรา ที่เข้าใจถึงความกังวลในแต่ละกลุ่มชุมชนจากต่างวัฒนธรรม เราจะช่วยพวกเขาเมื่อพวกเขาเข้ามาหาเรา เจ้าหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลของเรา และพวกเขามีกลยุทธ์ต่างๆ ตามแต่ละกลุ่มชุมชน เพราะความกังวลที่พวกเขามีในบางครั้งแตกต่างกันเล็กน้อย”

สหพันธ์สภาชุมชนหลากหลายชาติพันธุ์แห่งออสเตรเลีย (The Federation of Ethnic Communities Councils of Australia – FECCA) กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือกลุ่มชุมช   นที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษาทั่วประเทศได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้และเข้าใจง่ายเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปี ในภาษาของพวกเขา

“ชุมชนต่างๆ ต้องการการมีส่วนร่วมที่แตกต่างกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการใช้ทุกเครือข่าย สมาชิกทั้งหมดของเรา เพื่อให้ความช่วยเหลือชุมชนแต่ละท้องถิ่นนั้นสำคัญ ชุมชนท้องถิ่นรู้จักพวกเขาดีที่สุด รู้ว่าปัญหาคืออะไร และไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการให้ความช่วยเหลือทางด้านภาษา”

แพทย์หญิงมาร์จี แดนชิน (Margie Danchin) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างภูมิคุ้มกันที่โรงพยาบาลเด็กในราชอุปถัมภ์ (Royal Children’s Hospital) อยากเห็นเด็กๆ ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เร็วที่สุด ก่อนที่จะเริ่มการศึกษาในปีนี้
สิ่งสำคัญคือเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปีได้รับวัคซีน เพื่อให้การติดเชื้อไม่รุนแรงและมีสัดส่วนของเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นจำนวนน้อย เราไม่อยากให้เด็กๆ ติดโควิดหรือป่วยหนัก และสิ่งสำคัญที่สุดคือผลประโยชน์ทางอ้อมของการลดการแพร่เชื้อในบ้าน ในชุมชนและในโรงเรียน และเพื่อให้เด็กๆ สามารถไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องกักตัวที่บ้านหรือติดเชื้อโควิดจากโรงเรียน
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกล่าวว่า สิ่งสำคัญสำหรับเด็กที่เป็นโรคหอบหืดคือการได้รับวัคซีน เพราะการติดเชื้อสามารถทำให้อาการกำเริบได้ การฉีดวัคซีนแก่เด็กอายุระหว่าง 5-11 ปีเริ่มให้บริการแล้วในบางประเทศแถบยุโรป สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่ ปวดแขน ปวดศีรษะ เหนื่อยล้าและหนาวสั่น

“อาการข้างเคียงเหล่านั้นเกิดขึ้นน้อยในกลุ่มวัยรุ่น แต่อาการข้างเคียงระดับรุนแรงที่พบได้น้อย ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจตายหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ พบได้ในกลุ่มวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว”
The Dran Family
ครอบครัวที่รอพาเด็กๆ ไปฉีดวัคซีน Source: SBS/Phillippa Carisbrooke
ในออสเตรเลีย วัคซีนมีให้บริการในคลินิกแพทย์ทั่วไป (GP) ร้านขายยา และศูนย์ฉีดวัคซีนของรัฐและมณฑล เด็กๆ นั้นอาจกังวลกับการฉีดวัคซีน

แพทย์หญิงแอนเทีย โรดส์ (Anthea Rhodes) กุมารแพทย์ที่โรงพยาบาลเด็กในราชนูปถัมภ์ ในเมลเบิร์น ให้เคล็ดลับในการพาเด็กๆ ไปฉีดวัคซีน

“เด็กๆ จะรู้สึกกังวลน้อยลงหากพวกเขาได้รับข้อมูลที่ดีและมั่นใจ ดังนั้นควรพูดคุยกับเขา เช่น วันที่คุณจะพาเขาไปฉีดวัควีน ที่ไหน ใครจะพาพวกเขาไป ที่สำคัญคือการพูดคุยแบบตรงไปตรงมา แต่อย่าทำให้เด็กๆ หวาดกลัวกับข้อมูล พูดถึงวัคซีนว่าอาจจะรู้สึกเหมือนถูกหยิกหรือถูกจิ้ม แต่จะหายได้เร็ว ไม่ควรใช้คำว่า เจ็บ หรือถูกจิ้ม เพราะบางครั้งสิ่งเหล่านั้นน่ากลัวสำหรับเด็กๆ และเป็นความคิดที่ดีเสมอที่จะพูดถึงรางวัล และการต้องมาฉีดวัคซีนนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง และนี่เป็นเวลาที่การให้ลูกอมเป็นเรื่องโอเค”

การฉีดวัคซีนสำหรับเด็กที่ทุพพลภาพหรือเด็กพิเศษอาจเป็นเรื่องท้าทาย แพทย์หญิงโรดส์กล่าวว่ามีความช่วยเหลือสำหรับเด็กๆ

“พวกเขาอาจมีปัญหากับการกระตุ้นหรือประสาทสัมผัส เช่น เด็กออทิสติกอาจรู้สึกเครียดหรือมีปัญหากับการฉีดวัคซีน มีทางเลือกอื่นสำหรับเรื่องกระตุ้นประสาทสัมผัส สิ่งสำคัญคือผู้ปกครองควรพูดคุยกับแพทย์ทั่วไป  (GP)  หรือที่ที่จะไปฉีดวัคซีนแต่เนิ่นๆ  เพื่อความมั่นใจว่าการฉีดวัคซีนจะเป็นไปในทางที่ละมุนละม่อมและระมัดระวัง”


เด็กๆ ที่กลัวเข็มอาจมีบริการที่เบี่ยงเบนความสนใจได้ เช่น การใส่ชุดหูฟัง
สำหรับเด็กที่กลัวเข็มมากๆ พวกเขาสามารถขอรับบริการ เพื่อรับยาระงับประสาทในการฉีดวัคซีน หากจำเป็น

คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์  

บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ 

Share